
#สรุปจากClubhouse จ้าง Inhouse VS Outsource แบบไหนปังกว่า ?!
.
1. ความหมายของ Inhouse VS Outsource
- Inhouse คือ การจ้างคนในทำกันเองในบริษัท หรือในองค์กร
- Outsource คือ การจ้างคนภายนอกองค์กร จ่ายเงินให้คนอื่นมาทำงานให้เรา เช่น ฟรีแลนซ์, Agency
2. ข้อดีและข้อเสียของ Inhouse (ในมุมมองของ Brand และ Agency)
ข้อดี Inhouse มุมมอง Brand
เข้าใจในธุรกิจของตนเองมากกว่าคนอื่น เช่น ข้อมูลที่เป็น confidential (ex: ข้อมูลกำไรขาดทุน)
เข้าใจเรื่อง Limitation มากกว่า
ข้อดี Inhouse มุมมอง Agency
ควบคุมเวลาและงบประมาณได้ เช่น หากลูกค้าต้องการแก้งานเยอะหรือซับซ้อน สามารถลด Cost / Man hour ได้
เข้าใจความเป็น Brand ว่า Style, Mood&Tone เป็นยังไง
ข้อเสีย Inhouse มุมมอง Brand
อาจทำให้เราขาดมุมมองใหม่ ๆ ในบางครั้ง เนื่องจากอยู่กับแบรนด์ทุกวัน จึงเป็นเหตุผลที่แบรนด์จำเป็นต้องจ้าง Creative agency
ขาด Fresh Perspective ในการทำงานหรือคิดงาน เพราะเราอยู่กับสินค้าหรือแบรนด์มานาน อาจทำให้ไม่มีไอเดียใหม่ ๆ อาจจะขาดในอีกมุมมองที่คนนอกมองเข้ามา
ข้อเสีย Inhouse มุมมอง Agency
Costing ที่เพิ่มเติมมาจากบาง Skill Set ที่เรายังไม่มี อาจจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เพิ่มเติม ต้องพิจารณาว่าคุ้มค่าไหม
ขาด Fresh Idea ภายใน Agency เอง
3. ข้อดีและข้อเสียของ Outsource (ในมุมมองของ Brand และ Agency)
ข้อดี Outsource มุมมอง Brand
Skill เก่งเฉพาะด้าน ที่ทางแบรนด์ไม่มีหรือขาด แต่ทาง Outsource มีและทำได้ดีกว่าหรือเชี่ยวชาญกว่า
Outsource มี Connection ที่ดีกว่ากับธุรกิจอื่น ๆ เช่น Media Agency อาจจะมีการเชิญ Facebook หรือ Google มาอัพเดทเรื่อง Tools ใหม่ ๆ
การต่อรองที่ดีกว่า เช่น การต่อรองเรื่องราคา
ข้อดี Outsource มุมมอง Agency
- มี Skill Set เฉพาะทาง (Deep Skill) ที่ตัวAgency ไม่มี
ข้อเสีย Outsource มุมมอง Brand
ข้อมูลที่เป็น Confidential ที่ไม่ได้อยากให้ผู้อื่นรู้อาจจะหลุดและทำให้เกิดความเสียหายได้
ค่อนข้าง Take Time ในการทำให้ Outsource เข้าใจและอินกับแบรนด์
ข้อเสีย Outsource มุมมอง Agency
เกิด Upfront Cost ราคาบางอย่างที่จับต้องไม่ได้ เช่น ค่า Creative Fee / Management Fee
ใช้ระยะเวลาในการ Brief หรือ Connect เข้ากับแบรนด์ค่อนข้างนาน
4. ควรแบ่งสัดส่วน Inhouse กับ Outsource อย่างไร
มุมมองของ Brand
Total Organization (มองในภาพรวมทุกแผนกในบริษัท) : 60% Inhouse, 40% Outsource
E-Commerce/ Marketing Sales : 70% Inhouse, 30% Outsource
*ไม่ได้มีสัดส่วนที่แน่นอน ขึ้นอยู่กับ Campaign ด้วยว่าจะต้องการอะไร ใช้อะไรบ้าง ต้องเช็คสิ่งที่มีอยู่ว่าอยากได้อะไรเพิ่มเติมหรือไม่ ต้องหา Gap สิ่งที่มีกับสิ่งที่อยากได้ และสิ่งที่จะต้องทำนั้นเป็นโปรเจคระยะสั้นหรือระยะยาว คุ้มค่าที่จะลงทุนไหม?
มุมมองของ Agency
ไม่ได้มีการกำหนดที่ตายตัว อยู่ที่งบประมาณและศักยภาพของทีม แต่ส่วนใหญ่การใช้งาน Inhouse กับ Outsource จะทราบชัดเจนตั้งแต่ตอนรับ Brief งานจากลูกค้าแล้วว่าส่วนไหนที่เราทำได้ ส่วนไหนที่เราขาด
(ซึ่งจริง ๆ การรับสมัครหาทีม Inhouse ใน Agency จะเน้นเป็น Skill Plus One คือ 1 ตำแหน่งสามารถทำได้มากกว่า 1 อย่าง)
- แชร์ประสบการณ์การเลือก Agency ของลูกค้า
ลูกค้าบางเจ้าเห็นผลงานมาก่อนแล้ว รู้ว่าใครทำอะไรได้ดี เจ้าไหนมีผลงานถูกจริตกับลูกค้า ก็จะเลือกเจ้านั้น ซึ่งในตัวงานต่าง ๆ ที่เคยทำมาจะสามารถสื่อถึง Logic of Thinking ของคนทำได้ แต่ลูกค้าบางเจ้าก้ยังมีความไม่แน่ใจว่าต้องการแบบไหน อาจจะ Explore Outsource เจ้าอื่น ๆ เพิ่มเติมก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ
5. วิธีการเลือก Outsource ที่มีคุณภาพ
มุมมองของ Brand
ฟังจากเพื่อนหรือ Marketing คนอื่น ๆ ที่รู้จักว่ามี Outsource เจ้าไหนดีบ้าง (WOM : Word of Mouth)
หากมี Agency ที่ตรงใจหรือเคยทำงานด้วยอยู่แล้วก็จะเก็บไว้ใน List (หายากมาก)
ทำ Pitching คือ การลองโยนโจทย์ให้ Agency ทำมาขายเลย
* ในบางครั้งการ Pitching ก็ต้องระวังเรื่อง Bias เช่น มีเจ้าในใจอยู่แล้ว ซึ่งลูกค้าจะแก้ปัญหานี้โดยการไม่เข้า Evaluation ในการเลือก Outsource ครั้งนั้น
**มีบาง case ที่ชอบงานของตัวบุคคลนั้นจริง ๆ ถ้าคนที่ทำงานท่านนั้นย้ายที่ทำงานก็จะย้ายตามมาด้วย
มุมมองของ Agency
หา Connection ใกล้เคียงก่อน
สร้างโจทย์หลอก ให้ทาง Outsoure ลองทำเพื่อเป็นการทดสอบ Skill ว่าตรงกับที่เราต้องการไหม
6. คำแนะนำในการร่วมงานกับ Outsource
มุมมองของ Brand
คิดเสมอว่าเขาไม่รู้จักเรา ทำให้เราจะต้อง Force ทาง Outsource ให้เขารู้สึกอินกับโจทย์และเข้าใจแบรนด์มากที่สุด
แจ้งโจทย์ให้ชัดเจนว่าอยากได้และไม่อยากได้อะไร
ให้ความเคารพซึ่งกันและกัน เพราะทุก ๆ outsource ก็จะมี Culture, Policy หรือ Timeline เป็นของตนเองที่ทำมาอยู่แล้ว
มุมมองของ Agency
มองว่า Outsource เป็น Partner กับเรา ต้องเชื่อใจซึ่งกันและกัน (Trust)
พูดความต้องการของเราให้ชัดเจน
- การให้โจทย์ก็จะต้องไม่ Fix จนปิด Idea ของ Outsource ทั้งหมด แต่จะต้องโยนโจทย์เผื่อให้ทาง Outsource ได้คิดและมี Space เป็นของเขาเองด้วยเช่นกัน
*ถ้า Smooth ตั้งแต่แรก Process ถัดไปก็จะราบรื่น ทำงานได้ง่ายขึ้น
Q&A
Q1. สถานกาณ์ไหนควรใช้ Inhouse หรือ Outsource
A : ขึ้นอยู่กับระยะเวลาของโจทย์ ถ้าเป็น Campaign สั้น ๆ ก็จะใช้ Outsource ถ้าเป็น Campaign ยาว ๆ หรือ Always on จะใช้เป็น Inhouse เพราะถือว่าคุ้มค่าที่จะลงทุน
.
Q2. กำลังทำธุรกิจเสื้อผ้าและมีการศึกษา SEO ด้วยนิดหน่อย ควรเรียนรู้ต่อด้วยตัวเองหรือควรจ้าง Outsource ดี?
A : การดำเนินการเองก็เป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องเรียนรู้ เนื่องจากปัจจุบันก็มีการสอนผ่านออนไลน์จำนวนมาก แต่ถ้าแนะนำก็แนะนำให้จ้าง Outsource ก่อนดีกว่า เป็นตัวช่วยในการเริ่มต้น Shortcut ที่ดี ให้เขาตั้งหลักให้เรา จะทำให้เราได้เรียนรู้จากการทำจริง ๆ ผ่าน Outsource
.
Q3. มีวิธีหรือแนะนำการเลือก Outsource สำหรับธุรกิจที่พึ่งเริ่มต้นยังไง?
A : หาหลาย ๆ ตัวเลือก อาจจะลองเลือกคุยประมาณ 3 เจ้า ลองถามคำถามแต่ละเจ้าดู ถ้าคนไหนที่เราถามแล้วรู้สึกว่าเราอยากถามเขาอีกเยอะ ๆ เคมีดูเข้ากันได้ แสดงว่าคนคนนั้นอาจจะเป็นคนที่ใช่ก็ได้ หรืออาจจะลองถามจากคนรู้จัก คนในธุรกิจเดียวกันก็ได้ว่าพอจะมีใครที่รู้จักหรือไม่
ขอขอบคุณ Moderator และ Speaker ทุกคนที่มาแชร์ข้อมูลดี ๆ กันนะคะ
Moderator
1. เพิท พงษ์ปิติ ผาสุขยืด (@pertpp)
อดีตคนเอเจนซีโฆษณา ผู้ก่อตั้งสื่อ Ad Addict
2. แท๊ป ดวิษ ประภายนต์ (@dawitp)
นักการตลาดแบรนด์ดัง เจ้าของรายการ Stat & Start Podcast และช่อง SAS สตูดิโอ
Speaker
1. พรทิพา ลีลาสง่าทรัพย์ (@oiloil)
Account Management Director
2. พรหมเมศวร์ นิลวิไลภร (@pote_phrommeth)
B2B E-commerce manager
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนไม่มากก็น้อย แล้วพบกันใน Clubhouse Session ถัดไปจากทาง Fastwork ได้เร็ว ๆ นี้